บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

ไม่ใช่คนเดิม ไม่ใช่คนอื่น



งานเขียนทางวิชาการของพุทธวิชาการ/นักปริยัติเกือบจะทั้งหมด ร้อยละร้อยเลยก็ว่าได้ เห็นว่า "จิตเป็นนามธรรม"  ไม่มีอยู่จริง ไม่มีรูปร่าง

อันเป็นความเห็นที่ผิดไปจากศาสนาพุทธ  เพราะ มีหลักฐานเป็นจำนวนมาก ที่ชี้ให้เห็นว่า “จิตเป็นนาม” ไม่ใช่ “นามธรรม” 

จิตกับกาย มีความเหมือนกัน แตกต่างกันที่ “กาย” มีความหยาบมาก จึงเห็นได้ง่าย  ส่วน “จิต” มีความละเอียดมาก

มองด้วย “ตา” ของกายเนื้อไม่เห็น  แต่สามารถเห็นได้ด้วย “ตาภายใน” ของกายละเอียดต่างๆ

ความเห็นที่ผิดเพี้ยนที่ว่า “จิตเป็นนามธรรม” ของพุทธวิชาการดังกล่าว  เป็นเพราะพวกเขาเหล่านั้นได้รับอิทธิพลจากวิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไก/แยกส่วน/ลดทอน

วิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไก/แยกส่วน/ลดทอนเป็นวิทยาศาสตร์ในยุคของนิวตัน  วิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไกเชื่อว่า โลกนี้มีแต่สสารเท่านั้น  จิตไม่มี

ความคิด/ความรัก/ความเกลียด ฯลฯ ที่เกิดจากใจนั้น  นักวิทยาศาสตร์เก่าเห็นว่า เป็นปฏิกิริยาเคมีของสมองเท่านั้น

ในทางพุทธศาสนานั้น มีความเห็นที่ตรงกันข้ามกับวิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไก/แยกส่วน/ลดทอน คือ เห็นว่า “จิตมีอยู่”  และจิตมีความสำคัญมาก

จิตสำคัญกว่าวัตถุ ซึ่งก็คือ กาย  ดังคำกล่าวที่ว่า "จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว"

วิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไกเชื่อว่า จิตไม่มี  แล้วพฤติกรรมต่างๆ ของมนุษย์ มีขึ้นมาได้อย่างไร

จากคำถามดังกล่าว วิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไกเห็นว่า พฤติกรรมต่างๆ ของมนุษย์นั้น เป็นเพราะ “สมอง” เป็นผู้กำหนด 

ส่วนศาสนาพุทธเชื่อว่า จิตมีอยู่คู่กับกาย  จิตกับกายจำเป็นทั้งคู่ เพราะ ไม่มีกายก็ไม่มีจิต  แต่จิตสำคัญกว่า

ตามธรรมชาติแล้ว  เมื่อมนุษย์ตายไป กายก็เน่าเปื่อยสลายไป แต่จิตยังอยู่ เพราะต้องไปรับใช้กรรมดีกับกรรมชั่ว ที่ได้กระทำไว้

อาจจะไปสุคติภูมิหรือทุคติภูมิก็ว่ากันไป

ตรงนี้ขออธิบายแทรกนิดหนึ่งว่า  ที่ว่าจิตยังอยู่นั้น ไม่ได้หมายความว่า จิตเป็นอัตตาแบบพราหมณ์ คือ  

อัตตาเป็นตัวตนเล็กๆ รูปร่างเหมือนคน อาศัยอยู่ในหัวใจเวลาปกติ และหนีออกจากร่างกายไปในเวลานอนหลับ หรือในเวลาสงบแน่นิ่ง

เมื่ออัตตานั้นกลับมาสู่ร่างเหมือนเดิม ชีวิตและการเคลื่อนไหวจึงเกิดขึ้นเป็นไปตามเดิม

ในเวลาตายอัตตาก็จะหนีออกจากร่าง ไปใช้ชีวิตในอมตะของตนเองวนเวียนไปอย่างนี้โดยไม่มีสิ้นสุด (อัตตา จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี)

จิตของคน ในศาสนาพุทธนั้น  เป็น อนิจจัง/ทุกขัง/อนัตตา[1] คือ เกิดดับ เกิดดับ เปลี่ยนสภาพตลอดเวลา แต่ "จิตยังเป็นคนเดิมอยู่"

ที่ยังคงเป็นคนเดิมอยู่ก็เพราะ ความสืบต่อหรือสันตติ

ต้องขออธิบายความหมายของข้อความที่ว่า "จิตยังเป็นคนเดิมอยู่"

เอาร่างกายของตัวเราเอง ซึ่งกำลังอ่านบล็อกอยู่ในตอนนี้ก็ได้  ขอให้พิจารณาดูว่า เราเมื่ออายุ  7 ขวบ  17 ปี  27 ปี  37 ปี  47 ปี  57 ปี  เป็นคนๆ เดียวกันหรือไม่  ในแง่ของความคิดและร่างกาย

จะเห็นว่า ในช่วงอายุ 10 ปีดังกล่าว  ร่างกายเราก็ไม่เหมือนเดิม  จิตใจความคิดความอ่านก็ไม่เหมือนเดิม 

ยิ่งอายุห่างกันมากๆ ก็ยิ่งเห็นได้ชัดเจน

อย่างไรก็ดี  ถึงเราไม่ใช่คนเดิมแล้ว แต่เรา “ก็ไม่ใช่คนอื่น”  ก็เป็นเพราะ ความสืบต่อหรือสันตตินั่นเอง

ตรงนี้ เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปไม่ว่าในทางวิทยาศาสตร์ ศาสนา และนิติศาสตร์ 

ในทางนิติศาสตร์นั้น  ผู้กระทำผิดกฎหมายจะปฏิเสธไม่ได้ว่า ตัวเขาเมื่ออายุ  20  ปี กับ อายุ  40  ปีเป็นคนละคนกัน 

ทั้งๆ ที่ เซลร่างกายทั้งตัว เปลี่ยนไปหลายรอบแล้ว

เมื่อวิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไก/แยกส่วน/ลดทอน เริ่มแผ่อิทธิพลเข้ามาในประเทศไทย  พุทธวิชาการที่ไม่ค่อยจะมีความคิดเป็นของตัวเอง  ฝรั่งว่ายังไงก็จะเชื่อตามไปหมด 

ก็แปลงกายไปเข้าข้างวิทยาศาสตร์เก่า จึงตีความว่า "จิตเป็นนามธรรม" เพื่อให้ตีความศาสนาพุทธให้เข้ากับวิทยาศาสตร์เก่า เพราะ ต้องการความยอมรับจากแวดวงวิชาการ

ในบทความนี้ ผมจึงต้องการที่จะพิสูจน์ว่า แนวคิดที่ว่า "จิตเป็นนามธรรม" ของพุทธวิชาการใจฝรั่งนั้น เป็นไปไม่ได้

โดยจะใช้หลักฐานจากพระไตรปิฎกและหลักการทางภาษาศาสตร์มาเป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์

……………………
เชิงอรรถ

[1] ตรงขอเพิ่มเติมเพื่อให้เป็นที่สังเกตแก่ผู้อ่าน ถึงความไม่ชอบมาพากลของพุทธวิชาการในยุคที่ผ่านมาสักนิดหนึ่ง

ถ้าผู้อ่านตั้งใจสังเกตให้ดีจะพบว่า ในการโจมตีการสอนว่า นิพพานเป็นนิจจัง/สุขัง/อัตตานั้น  พุทธวิชาการส่วนใหญ่จะตัดคำว่า นิจจัง/สุขัง/ออกไปให้เหลือเพียง นิพพานเป็นอัตตา 

โดยพยายามโน้มน้าวว่า  ผู้สอนว่า นิพพานเป็นอัตตา หลงผิดไปตามคำสอนของพราหมณ์ในสมัยพุทธกาลโน่น

การโจมตีดังกล่าวนั้น ผิดพลาดอย่างแน่นอน เพราะ เป็นไปไม่ที่ว่า คนไทยในยุคปัจจุบันนี้ จะมีความเชื่อเหมือนกับพราหมณ์ในยุคพระพุทธเจ้า 

การโจมตีดังกล่าวนั้น เป็นการโจมตีที่ขาดความมีคุณสมบัติของนักวิชาการที่ดีเป็นอย่างยิ่ง

สิ่งที่น่าสังเกตอีกประการหนึ่งคือ พวกที่โจมตีประเด็นดังกล่าวนั้น ไม่มีใครพยายามอธิบายเลยว่า ตกลงแล้ว อัตตาแบบพราหมณ์มีลักษณะเป็นเช่นไรแน่  ทั้งๆ ที่พุทธวิชาการเหล่านั้นก็รู้อยู่ว่า อัตตาแบบพราหมณ์เป็นอย่างไร

การที่ไม่กล้าอธิบาย อัตตาแบบพราหมณ์ก็เพราะว่า ถ้าอธิบายมาแล้ว จะไม่มีใครเชื่อถือ ข้อความโจมตีของพุทธวิชาการเหล่านั้น

จากความหมายของอัตตาแบบพราหมณ์ที่กล่าวไปแล้วข้างตน  จะเห็นว่าความหมายไม่เข้ากับสังคมไทยในปัจจุบันนี้อย่างแน่นอน ไม่มีใครเชื่อไปในทำนองนั้น 

คนไทยในยุคนี้ เชื่อผีแม่นาค เชื่อผีปอบ เชื่อว่า ตายแล้วเกิดเป็นสัตว์ได้ถ้าทำไม่ดี  ด่าพ่อแม่ ตายแล้วจะเป็นเปรตปากเท่ารูเข็ม ฯลฯ เป็นต้น  ไม่มีคนไทยคนใดเชื่ออัตตาแบบพราหมณ์




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น